AEC คืออะไร



AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ โดยมี ไทย, พม่า, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, บรูไน เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน จะมีรูปแบบคล้ายๆ กลุ่ม Euro Zone นั่นเอง จะ ท าให้มีผลประโยชน์, อ านาจต่อรองต่างๆ กับคู่ค้าได้มากขึ้น และการน าเข้า ส่งออกของชาติใน อาเซียนก็จะเสรี ยกเว้นสินค้าบางชนิดที่แต่ละประเทศอาจจะขอไว้ไม่ลดภาษีน าเข้า (เรียกว่า สินค้าอ่อนไหว)
Asean จะรวมตัวเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและมีผลจริงๆจังๆ ณ วันที่ 1 มกราคม 2558 ณ วันนั้นจะท าให้ภูมิภาคนี้เปลี่ยนไปอย่างมากอย่างที่คุณคิดไม่ถึงทีเดียว AEC Blueprint (แบบพิมพ์เขียว) หรือแนวทางที่จะให้ AEC เป็นไปคือ

1. การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน
2.การเป็นภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง
3. การเป็นภูมิภาคที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน
4. การเป็นภูมิภาคที่มีการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก
โดยให้แต่ละประเทศใน AEC ให้มีจุดเด่นต่างๆดังนี้ พม่า : สาขาเกษตรและประมง มาเลเซีย : สาขาผลิตภัณฑ์ยาง และสาขาสิ่งทอ อินโดนีเซีย : สาขาภาพยนต์และสาขาผลิตภัณฑ์ไม้ ฟิลิปปินส์ : สาขาอิเล็กทรอนิกส์ สิงคโปร์ : สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ และสาขาสุขภาพ ไทย : สาขาการท่องเที่ยว และสาขาการบิน (ประเทศไทยอยู่ตรงกลาง ASEAN) การเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นได้ชัดๆใน AEC โดยอธิบายให้เห็นภาพเข้าใจง่ายๆ เช่น
- การลงทุนจะเสรีมากๆ คือ ใครจะลงทุนที่ไหนก็ได้ ประเทศที่การศึกษาระบบดีๆ ก็จะมาเปิด โรงเรียนในบ้านเรา อาจท าให้โรงเรียนแพงๆแต่คุณภาพไม่ดีล าบาก
- ไทยจะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว และการบินอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะว่าอยู่กลาง Asean และไทยอาจจะเด่นในเรื่อง การจัดการประชุมต่างๆ, การแสดงนิทรรศการ, ศูนย์กระจายสินค้า และยังเด่นเรื่องการคมนาคมอีกด้วยเนื่องจากอยู่ตรงกลางอาเซียน และการบริการด้าน การแพทย์และสุขภาพจะเติบโตอย่างมากเช่นกันเพราะ จะผสมผสานส่งเสริมกันกับ อุตสาหกรรรมการท่องเที่ยว (ค่าบริการทางการแพทย์ต่างชาติจะมีราคาสูงมาก)
- การค้าขายจะขยายตัวอย่างน้อย 25% ในส่วนของอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น รถยนต์, การ ท่องเที่ยว, การคมนาคม, แต่อุตสาหกรรมที่น่าห่วงของไทยคือ ที่ใช้แรงงานเป็นหลักเช่น ภาค การเกษตร, ก่อสร้าง, อุตสาหกรรรมสิ่งทอจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากฐานการผลิตอาจย้ายไป ประเทศที่ผลิตสินค้าทดแทนได้เช่นอุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยผู้ลงทุนอาจย้ายฐานการผลิตจาก ประเทศไทยไปยังประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่า เนื่องด้วยบางธุรกิจไม่จ าเป็นต้องใช้ทักษะมากนัก ค่าแรงจึงถูก
- เรื่องภาษาอังกฤษจะเป็นสิ่งที่ส าคัญอย่างมาก เนื่องจากจะมีคนอาเซียน เข้ามาอยู่ในไทย มากมายไปหมด และมักจะพูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ แต่จะใช้ภาษาอังกฤษ (AEC มีมาตรฐาน แจ้งว่าจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางใน AEC) บางทีเรานึกว่าคนไทยไปทักพูดคุยด้วย แต่ เค้าพูดภาษาอังกฤษกลับมา เราอาจเสียความมั่นใจได้ ส่วนสิ่งแวดล้อมนั้น ป้ายต่างๆ หนังสือพิมพ์, สื่อต่างๆ จะมีภาษาอังกฤษมากขึ้น (ให้ดูป้ายที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็นตัวอย่าง) และจะมีโรงเรียนสอนภาษามากมาย หลากหลายหลักสูตร
- การค้าขายบริเวณชายแดนจะคึกคักอย่างมากมาย เนื่องจาก ด่านศุลกากรชายแดนอาจมี บทบาทน้อยลงมาก แต่จะมีปัญหาเรื่องยาเสพติด และปัญหาสังคมตามมาด้วย
- เมืองไทยจะไม่ขาดแรงงานที่ไร้ฝีมืออีกต่อไปเพราะแรงงานจะเคลื่อย้ายเสรี จะมี ชาวพม่า, ลาว, กัมพูชา เข้ามาท างานในไทยมากขึ้น แต่คนเหล่านี้ก็จะมาแย่งงานคนไทยบางส่วนด้วย เช่นกัน และยังมีปัญหาสังคม, อาชญากรรม จะเพิ่มขึ้นอีกด้วย อันนี้รัฐบาลควรระวัง
- คนไทยที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ บางส่วนจะสมองไหลไปท างานเมืองนอก โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมซอร์ฟแวร์ (ที่จะให้สิงคโปร์เป็นหัวหอกหลัก) เพราะชาวไทยเก่ง แต่ปัจจุบันได้ ค่าแรงถูกมาก อันนี้สมองจะไหลไปสิงคโปร์เยอะมาก แต่พวกชาวต่างชาติก็จะมาท างานในไทย มากขึ้นเช่นกัน อาจมีชาว พม่า, กัมพูชา เก่งๆ มาท างานกับเราก็ได้ โดยจะใช้ภาษาอังกฤษเป็น สื่อกลาง บริษัท software ในไทยอาจต้องปรับค่าจ้างให้สู้กับ บริษัทต่างชาติให้ได้ ไม่เช่นนั้น จะเกิดภาวะสมองไหล
- อุตสาหกรรมโรงแรม, การท่องเที่ยว, ร้านอาหาร, รถเช่า บริเวณชายแดนจะคึกคักมากขึ้น เนื่องจากจะมีการสัญจรมากขึ้น และเมืองตามชายแดนจะพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นจุด ขนส่ง
- สาธารณูปโภคในประเทศไทย หากเตรียมพร้อมไม่ดีอาจขาดแคลนได้เช่น ชาวพม่า มาคลอด ลูกในไทย ก็ต้องใช้โรงพยาบาลในไทยเป็นต้น
- กรุงเทพฯ จะแออัดอย่างหนัก เนื่องจากมีต าแหน่งเป็นตรงกลางของอาเซียนและเป็นเมือง หลวงของไทย โดยเมืองหลวงอาจมีส านักงานของต่างชาติมาตั้งมากขึ้น รถจะติดอย่างมาก สนามบินสุวรรณภูมิจะแออัดมากขึ้น (ปัจจุบันมีโครงการที่จะขยายสนามบินแล้ว)
- ไทยจะเป็นศูนย์กลางอาหารโลกในการผลิตอาหาร เพราะ knowhow ในไทยมีเยอะ ประสบการณ์สูง และบริษัทอาหารในไทยก็แข็งแกร่ง ประกอบท าเลที่ตั้งเหมาะสมอย่างมาก แม้ จะให้พม่าเน้นการเกษตร แต่ทางประเทศไทยเองคงไปลงทุนในพม่าเรื่องการเกษตรแล้วส่งออก ซึ่งก็ถือเป็นธุรกิจของคนไทยที่ช านาญ อยู่แล้ว - ปัญหาสังคมจะรุนแรงถ้าไม่ได้รับการวางแผนที่ดี เนื่องจาก จะมีขยะจ านวนมากมากขึ้น, ปัญหาการแบ่งชนชั้น ถ้าคนไทยท างานกับคนต่างชาติที่ด้อยกว่า อาจมีการแบ่งชนชั้นกันได้, จะ มีชุมชนสลัมเกิดขึ้น และอาจมี พม่าทาวน์, ลาวทาวน์, กัมพูชาทาวน์, ปัญหาอาจญากรรมจะ รุนแรง สถิติการก่ออาชญากรรมจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากชนนั้นที่มีปัญหา, คนจะท าผิดกฎหมาย มากขึ้นเนื่องจากไม่รู้กฎหมาย การขนส่งที่เปลี่ยนแปลง East-West Economic Corridor (EWEC)
East West Economic Corridor จะมีการขนส่งจากท่าเทียบเรือทางทะเลฝั่งขวาไปยังฝั่งซ้าย เวียดนาม-ไทย-พม่า มีระยะทาง ติดต่อกันโดยประมาณ 1,300 กม.อยู่ในเขตประเทศไทยถึง 950 กม. ลาว 250 กม. เวียนดนาม 84 กม.เส้นทางเริ่มที่ เมืองท่าดานัง ประเทศเวียดนาม ผ่านเมืองเว้และเมืองลาวบาว ผ่านเข้า แขวงสะหวันนะเขตในประเทศ ลาว และมาข้ามสะพานมิตรภาพ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ข้ามแม่น้ าโขงสู่ไทยที่ จังหวัดมุกดาหาร ผ่านจังหวัด กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุดที่อ าเภอแม่สอด จังหวัดตาก จากนั้นเข้าไปยังประเทศพม่าไปเรื่อยๆ ถึงอ่าวเมาะ ตะมะ ที่เมืองเมาะล าไย หรือมะละแหม่ง เป็นการเชื่อมจากทะเลจีนใต้ไปสู่อินเดีย มันจะมีผลที่ดีคือ การขนส่ง logistic ใน AEC จะพัฒนาอีกมาก และจากาการที่ไทยอยู่ตรงกลาง ท าให้เราขายของได้มากขึ้นเพราะเราจะส่งของไปท่าเรือทางฝั่งซ้ายก็ได้ ทางฝั่งขวาก็ได้ ที่ดิน ในไทยบริเวณดังกล่าวก็น่าจะมีราคาสูงขึ้น
และที่พม่ายังมี โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ หรือโครงการ “ทวาย” (ศูนย์อุตสาหกรรมขนาด ใหญ่,ท่าเรือขนาดใหญ่ ที่ปัจจุบัน Italian-Thai Development PLC ได้รับสัมปทานในการ ก่อสร้างแล้ว) ที่เส้นทางสอดคล้องกับ East West Economic Corridor โดยทวายจะกลายเป็น ทางออกสู่ทะเลจุดใหม่ที่ส าคัญมากต่ออาเซียน เพราะในอดีตทางออกสู่มหาสมุทรอินเดีย จ าเป็นต้องใช้ท่าเรือของสิงคโปร์เท่านั้น ขณะเดียวกันโปรเจกต์ทวายนี้ยังเป็นต้นทางรับสินค้า จากฝั่งมหาสมุทรอินเดียหรือสินค้าที่มาจากฝั่งยุโรปและตะวันออกกลาง โดยเฉพาะสินค้ากลุ่ม พลังงานไม่ว่าจะเป็นน้ ามัน ก๊าซ ซึ่งจะถูกน าเข้าและแปรรูปในโรงงานปิโตรเคมีภายในพื้นที่โปร เจกต์ทวาย เพื่อส่งผ่านไทยเข้าไปยังประเทศกลุ่มอินโดจีนเช่น ลาว กัมพูชา และไปสิ้นสุด ปลายทางยังท่าเรือดานังประเทศเวียดนาม และจะถูกส่งออกไปยังเอเชียตะวันออกอย่างญี่ปุ่น และจีน
ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่เราควรจะเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ที่ส าคัญตอนนี้คือ ภาษาอังกฤษ อย่างน้อยๆเราก็จะ ได้สื่อสารทางธุรกิจได้ เพราะหากสื่อสารไม่ได้ เรื่องอื่นก็คงไม่ต้องท าอะไรต่อ และถ้าจะหาลูกค้าแค่ในไทยก็อาจไม่เพียงพอแล้วเพราะ ธุรกิจต่างชาติก็จะมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดของเรา แน่นอน เรื่อง AEC จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ธุรกิจและคนไทยต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมให้ดี  หมวดหมู่
o บทความ AEC ส าคัญที่ควรอ่าน
o ความได้เปรียบเสียเปรียบไทยในAEC
o การปรับตัวกลยุทธ์เมื่อเป็นAEC
o บทความและบทวิเคราะห์AEC
o ผลกระทบอื่นที่จะเกิดกับไทย
o ข้อมูลของแต่ละประเทศในAEC
o AEC English Article
จุดแข็ง-จุดอ่อน-เบื้องต้น ของประเทศต่างๆใน AEC ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
1.ประเทศสิงคโปร์
จุดแข็ง
• รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีสูงสุดของอาเซียน และติดอันดับ 15 ของโลก
• การเมืองมีเสถียรภาพ
• เป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ
• แรงงานมีทักษะสูง
• ช านาญด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล และธุรกิจ
• มีที่ตั้งเอื้อต่อการเป็นศูนย์กลางเดินเรือ
จุดอ่อน
• พึ่งพาการน าเข้าวัตถุดิบและขาดแคลนแรงงานระดับล่าง
• ค่าใช้จ่ายในการด าเนินธุรกิจสูง
ประเด็นที่น่าสนใจ
• พยายามขยายโครงสร้างเศรษฐกิจมายังภาคบริการมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกสินค้า


2.ประเทศอินโดนีเซีย
จุดแข็ง
• ขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
• ตลาดขนาดใหญ่ (ประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลก และมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียง
ใต้)
• มีชาวมุสลิมมากที่สุดในโลก
• มีทรัพยากรธรรมชาติหลากหลายและจ านวนมาก โดยเฉพาะถ่านหิน น้ ามัน ก๊าซธรรมชาติ
โลหะต่างๆ • ระบบธนาคารค่อนข้างแข็งแกร่ง
จุดอ่อน
• ที่ตั้งเป็นเกาะและกระจายตัว
• สาธารณูปโภคพื้นฐานยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร โดยเฉพาะการคมนาคม และการเชื่อมโยง
ระหว่างประเทศ
ประเด็นที่น่าสนใจ
• การลงทุนส่วนใหญ่เน้นใช้ทรัพยากรในประเทศเป็นหลัก


 3.ประเทศมาเลเซีย
จุดแข็ง
• รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีอยู่ในอันดับ 3 ของอาเซียน
• มีปริมาณส ารองน้ ามันมากเป็นอันดับ 3 และก๊าซธรรมชาติมากเป็นอันดับ 2 ของเอเชียแปซิฟิก
• ระบบโครงสร้างพื้นฐานครบวงจร
• แรงงานมีทักษะ
จุดอ่อน
• จ านวนประชากรค่อนข้างน้อย ท าให้ขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะระดับล่าง
ประเด็นที่น่าสนใจ
• ตั้งเป้าหมายเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” ในปี 2563
• ฐานการผลิตและส่งออกสินค้าส าคัญที่คล้ายคลึงกับไทย
• มีนโยบายพัฒนาการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างจริงจัง


4.ประเทศบรูไน
จุดแข็ง
• รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีอยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียน และอันดับ 26 ของโลก
• การเมืองค่อนข้างมั่นคง
• เป็นผู้ส่งออกน้ ามัน และมีปริมาณส ารองน้ ามันอันดับ 4 ของอาเซียน
จุดอ่อน
• ตลาดขนาดเล็ก ประชากรประมาณ 4 แสนคน
• ขาดแคลนแรงงาน
ประเด็นที่น่าสนใจ
• มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกับสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
• การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศพึ่งพาสิงคโปร์เป็นหลัก
• ให้ความส าคัญกับความมั่นคงทางอาหารค่อนข้างมาก


5.ประเทศฟิลิปปินส์ จุดแข็ง
• ประชากรจ านวนมากอันดับ 12 ของโลก (>100 ล้านคน)
• แรงงานทั่วไปมีความรู้-สื่อสารภาษาอังกฤษได้
จุดอ่อน
• ที่ตั้งห่างไกลจากประเทศสมาชิกอาเซียน
• ระบบโครงสร้างพื้นฐาน และสวัสดิภาพทางสังคมยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
ประเด็นที่น่าสนใจ
• สหภาพแรงงานมีบทบาทค่อนข้างมาก และมีการเรียกร้องเพิ่มค่าแรงอยู่เสมอ
• การลงทุนส่วนใหญ่เป็นการรองรับความต้องการภายในประเทศเป็นหลัก


 6.ประเทศเวียดนาม
จุดแข็ง
• ประชากรจ านวนมากอันดับ 14 ของโลก (~90 ล้านคน)
• มีปริมาณส ารองน้ ามันมากเป็นอันดับ 2 ของเอเชียแปซิฟิก
• มีแนวชายฝั่งทะเลยาวกว่า 3,200 กิโลเมตร
• การเมืองมีเสถียรภาพ
• ค่าจ้างแรงงานเกือบต่ าสุดในอาเซียน รองจากกัมพูชา
จุดอ่อน
• ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร
• ต้นทุนที่ดินและค่าเช่าส านักงานค่อนข้างสูง
ประเด็นที่น่าสนใจ
• มีรายได้และความต้องการสูงขึ้นจากเศรษฐกิจที่โตเร็ว


 7.ประเทศกัมพูชา
จุดแข็ง
• มีทรัพยากรธรรมชาติหลากหลายและอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะน้ า ป่าไม้ และแร่ชนิดต่างๆ
• ค่าจ้างแรงงานต่ าสุดในอาเซียน (1.6 USD/day)
จุดอ่อน
• ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
• ต้นทุนสาธารณูปโภค (น้ า ไฟฟ้า และการสื่อสาร) ค่อนข้างสูง
• ขาดแคลนแรงงานมีทักษะ
ประเด็นที่น่าสนใจ
• ประเด็นขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาอาจบั่นทอนโอกาสการขยายการค้า-การลงทุนระหว่างกัน
ในอนาคตได้


 8.ประเทศลาว จุดแข็ง
• มีทรัพยากรธรรมชาติหลากหลายและอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะน้ าและแร่ชนิดต่างๆ
• การเมืองมีเสถียรภาพ
• ค่าจ้างแรงงานค่อนข้างต่ า (2.06 USD/day)
จุดอ่อน
• ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
• พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงและภูเขา การคมนาคมไม่สะดวก ไม่มีทางออกสู่ทะเล
ประเด็นที่น่าสนใจ
• การลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานน้ า และเหมืองแร่


 9.ประเทศพม่า
จุดแข็ง
• มีทรัพยากรธรรมชาติ น้ ามันและก๊าซธรรมชาติจ านวนมาก
• มีพรมแดนเชื่อมโยงจีนและอินเดีย
• ค่าจ้างแรงงานค่อนข้างต่ า (2.5 USD/day)
จุดอ่อน
• ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
• ความไม่แน่นอนทางการเมือง และนโยบาย
ประเด็นที่น่าสนใจ
• การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในประเทศเชิงรุก ทั้งทางถนน รถไฟความเร็วสูง และท่าเรือ


 10.ประเทศไทย
จุดแข็ง
• เป็นฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรหลายรายการรายใหญ่ของโลก
• ที่ตั้งเอื้อต่อการเป็นศูนย์กลางโครงข่ายเชื่อมโยงคมนาคมด้านต่างๆ
• สาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วถึง
• ระบบธนาคารค่อนข้างเข้มแข็ง
• แรงงานจ านวนมาก
จุดอ่อน
• แรงงานส่วนใหญ่ยังขาดทักษะ
• เทคโนโลยีการผลิตส่วนใหญ่ยังเป็นขั้นกลาง
ประเด็นที่น่าสนใจ
• ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางอาเซียนในหลายด้าน อาทิ ศูนย์กลางโลจิสติกส์ และศูนย์กลางการ
ท่องเที่ยว
• ด าเนินงานตามแผนปรับตัวสู่ AEC ปี 53-54 ได้ 64% สูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของอาเซียนที่ 53%
สะท้อนการเตรียมพร้อมอย่างจริงจัง



ความได้เปรียบเสียเปรียบไทยในAEC
ประกันไทยไม่พร้อม เตือนภัยเปิดเสรี AEC กระแสเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี (Asean Economic Community : AEC) ก าลังมาแรง วงการธุรกิจอุตสาหกรรม ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจประกันภัย-ประกันชีวิต เริ่มตื่นตัวกัน แล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจประกันภัยที่เป็นบริษัทท้องถิ่น เตรียมตั้ง รับเพราะไม่มีเครือข่ายพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นต่างประเทศ และที่ผ่านมายังมีปัญหาเคลมสินไหม น้ าท่วมหลายแสนล้านบาท ซึ่งยังเป็นปัญหาเคลียร์ไม่จบ
ขณะที่ธุรกิจประกันชีวิตแม้ดูเหมือนจะมีปัญหาน้อยกว่า เพราะผู้ประกอบการกว่าครึ่งเป็นนัก ลงทุนต่างชาติที่เข้ามาปักธงอยู่แล้ว เหลือผู้ประกอบการท้องถิ่นไม่ถึง 10 ราย แต่ปรากฎว่าเมื่อ ต้องเปิดเสรีอาเซียนขึ้นมาจริงๆในในปี 2558 หลายฝ่ายก็ไม่มั่นใจว่าแต่ละแห่งจะเตรียมความ พร้อมรองรับกระแสการแข่งขันของกลุ่มทุนต่างชาติอื่นๆ ที่จะเข้ามาเจาะตลาดได้แค่ไหน ส าหรับความเคลื่อนไหวเพื่อรับมือการเปิดเสรีเออีซีนั้น มีอาทิ บริษัท กรุงเทพประกันภัย (BKI) และกรุงเทพประกันชีวิต(BLA) ร่วมกับพันธมิตรที่เป็นบริษัทประกันภัยต่างชาติในการจัดตั้ง บริษัทแคมโบเดียนไลฟ์ ในประเทศกัมพูชา โดยกระทรวงเศรษฐกิจและการเงินกัมพูชาถือหุ้น ใหญ่ 51% ส่วนอีก 49% เป็นการร่วมลงขันโดยบริษัทประกันที่เป็นพันธมิตรกันใน 4ประเทศ คือ BKI, BLA, บริษัทประกันภัยจากฮ่องกง และอินโดนีเซีย เพื่อเป็นอีกหนึ่งกลไกช่วยสร้าง หลักประกันให้แก่ผู้บริโภคในตลาดกัมพูชา หลังรัฐบาลกัมพูชาเพิ่งเปิดตลาดหุ้นไปแล้วเมื่อ เดือน เม.ย.ที่ผ่านมาส่วนทางคณะกรรมการก ากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. ได้แก้ไขหลักเกณฑ์สัดส่วนการถือหุ้น
ของต่างชาติในบริษัทประกันภัยให้สามารถถือหุ้นเกินกว่า 25% โดยก าหนดว่าถ้าถือหุ้นไม่เกิน 49% จะต้องขออนุมัติบอร์ดคปภ. และถ้าถือหุ้นเกิน 49% ขึ้นไป ต้องขออนุมัติจาก รมว.คลัง เพื่อเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง เพิ่มศักยภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขันของ บริษัทประกันภัยให้สามารถรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ได้เต็มที่ ภายในปี 2020 นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการ คปภ. กล่าวยอมรับว่าขณะนี้ธุรกิจประกันไทยในภาพรวม ยังไม่มีความพร้อมในการรองรับเออีซี เพราะภาคประกันของไทยต้องสร้างตัวเองให้มีความ เข้มแข็งก่อนที่จะไปแข่งขันกับต่างประเทศ ซึ่งคงต้องมีการเตรียมพร้อมในเรื่องนี้กันอีกมาก และต้องเร่งปรับตัวให้ทันก่อนปี 2020 โดยนายประเวชแนะว่า บริษัทประกันต้องปรับเปลี่ยน แนวคิดใหม่ด้วย เพราะการประกันเป็นธุรกิจการเงินที่มีความซับซ้อน จึงถูกก าหนดให้มี ระยะเวลาปรับตัวนานกว่าธุรกิจอื่นไปหนึ่งสเต็ป นายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยประกันชีวิต ให้ความเห็นว่าสิ่งส าคัญ คือ การปรับเปลี่ยนระบบของแต่ละบริษัทให้สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันในธุรกิจ เพราะการเปิด เสรีประกันภัยนั้นพูดกันมานาน 20 ปีแล้ว กระทั่งขยับเข้ามาเป็นเออีซี ซึ่งแคบลงกว่าเดิม โดยใน ส่วนของไทยประกันชีวิตมีการปรับรูปแบบโครงสร้างการบริหารธุรกิจภายในให้รับกับกระแสการ แข่งขันภายนอกที่แข่งขันรุนแรงมานานนับ 10 ปีแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาปรับเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานาย ประกิตติ บุณยเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารตัวแทนประกันชีวิต บริษัทเอไอเอ ประเทศ ไทย กล่าวว่าบริษัทแม่ที่ฮ่องกงยังไม่ได้ให้นโยบายเร่งด่วนส าหรับการวางแผนรองรับการเปิด เสรีเออีซี เพราะเอไอเอ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทั้ง15 ประเทศ ต่างมีขนาดธุรกิจค่อนข้างใหญ่ และประสบผลส าเร็จทางด้านยอดขายค่อนข้างดี ครอบคลุมฐานลูกค้ามากกว่าตลาดอาเซียนใน ปัจจุบัน โดยเฉพาะเอไอเอ ประเทศไทยมีฐานกรมธรรม์ลูกค้าทั้งประกันชีวิตและประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลรวมกันแล้ว 7 ล้านฉบับ
นายธีระ ภู่ตระกูล นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย กล่าวว่าในปี 2558 เมื่ออาเซียน กลายเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี มีการเปิดเสรีด้านการเงินการธนาคาร จะท าให้ การแข่งขันด้านธุรกรรมและบริการวางแผนทางการเงินมีความรุนแรงมากขึ้น เพราะสถาบัน การเงินและบริษัทประกันชีวิตของประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียนจะมีโอกาสเข้ามามีบทบาทและ ร่วมแข่งขันในประเทศไทยมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีสถาบันที่ให้บริการวางแผนการเงินส่วน บุคคลเป็นบริการเสริมเพื่อดึงดูดลูกค้าของสถาบันการเงินและธุรกิจประกันชีวิต โดยยังไม่ได้ รวมถึงบริการของนักวางแผนการเงินอิสระอีกต่างหาก ดังนั้น ธุรกิจของไทยต้องวางแผนรับมือ การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นไว้ล่วงหน้า นายกี่เดช อนันต์ศิริประภา กรรมการผู้อ านวยการ บริษัทแอกซ่าประกันภัย ให้ความเห็นว่าถ้าเปิด เออีซีเต็มรูปแบบจริงบริษัทประกันภัยท้องถิ่นในประเทศจะเสียเปรียบบริษัทประกันภัยที่มี เครือข่ายข้ามชาติ ยกตัวอย่าง การประกันภัยรถข้ามแดนที่ปัจจุบันยังท าเฉพาะการประกันภัย ภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. แต่ในอนาคตจะต้องเปิดประกันภาคสมัครใจด้วย ที่มา : ดอกเบี้ยธุรกิจ

การปรับตัวกลยุทธ์เมื่อเป็นAEC
การขนส่งทางรถบรรทุกต้องเร่งปรับตัวรับ AEC นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ปัจจุบันกรอบความ ร่วมมืออาเซียนได้เปิดให้มีการเดินรถไป-กลับระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน 500 คัน ที่ ผู้ประกอบการไทยวิ่งให้บริการในเส้นทางอีสท์ เวธส์ คอริดอร์ หรือโครงการเส้นทางแนว ตะวันออก-ตะวันตก R9 จากจังหวัดตาก-พิษณุโลก, มุกดาหาร-สหวันเขต, ลาว บาว-ท่าเรือ ดานัง แต่เส้นทางดังกล่าวไม่ได้รับความนิยม จึงมีแนวคิดที่จะปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินรถใหม่มา เป็นเส้นทาง ฮานอย-แหลมฉบัง แทน อย่างไรก็ตาม ในอนาคตจะมีผู้ประกอบการขนส่งจาก ต่างชาติเข้ามาให้บริการเป็นจ านวนมาก จึงต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ.เกี่ยวกับการเดินรถ ไม่ว่าจะ เป็น ร่าง พ.ร.บ.การอ านวยความสะดวกในการขนส่งข้ามแดน พ.ศ. ….. /พ.ร.บ.การรับขนของ ทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. …..ซึ่ง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาจาก คณะกรรมาธิการ คาดว่าในอีก 6 เดือนจะประกาศใช้ และร่าง พ.ร.บ.การรับขนคนโดยสารและ สัมภาระระหว่างประเทศ พ.ศ. ……อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาจากกฤษฎีกา คาดว่าในอีก 1 ปี ข้างหน้าจะประกาศใช้ พร้อมเพิ่มความรับผิดชอบต่อความเสียหาย และมีการติดตั้ง GPS เพื่อให้ เกิดความเชื่อมั่นแก่ผู้ใช้บริการ ซึ่งยอมรับว่าหากเปิดเสรีภาคการขนส่งผู้ประกอบการขนส่งข้าม แดนจะได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่ถือเป็นเรื่องดีต่อธุรกิจขนส่งสินค้าเพราะจะไม่เป็นการผูก ตลาดแต่เพียงรายเดียว “ผู้ประกอบการไทยจ าเป็นต้องเตรียมความพร้อมในการเปิดเสรีขนส่งใน 2556 นอกจากนี้ จะต้องมีการแก้กฎหมายตามข้อก าหนดของ AEC ที่ระบุการเปิดเสรีเพื่อให้ต่างชาติเข้ามา ด าเนินการในส่วน 70% จากเดิม 49% ทั้ง นี้ หากผู้ประกอบการไทยไม่มีความพร้อม อาจจะถูก เจาะตลาดได้ ซึ่งในอนาคตการขนส่งข้ามแดนนั้นจะมีปริมาณมากขึ้น ซึ่งไทยต้องเตรียมพร้อม อย่างไรก็ตาม กรมการขนส่งทางบกจะขยายผลการส่งเสริมและจัดตั้งระบบการรับรองมาตรฐาน ในส่วนภูมิภาคอีก 15 จังหวัด ซึ่งก่อนหน้านี้มีการน าร่องการจัดตั้งระบบการรับรองมาตรฐานใน 15 จังหวัดไปแล้ว
ที่มา : นสพ.บ้านเมือง
บทความและบทวิเคราะห์AEC มองอสังหาริมทรัพย์ประเทศเพื่อนบ้าน การประชุมสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินในภูมิภาคอาเซียน เมื่อต้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา มีการ พูดถึงสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยผู้รู้ในแต่ละประเทศโดยตรง ทั้งจาก กัมพูชา บรูไน เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย สรุปได้ความว่า ที่ กัมพูชา พื้นที่ส านักงานมีค่าเช่าประมาณเดือนละ 600 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งน้อยกว่าไทย ไม่มากนัก ส าหรับตลาดที่อยู่อาศัย ในขณะนี้เน้นสร้างตึกแถว แต่ก็เริ่มมีทาวน์เฮาส์ ส่วนอาคาร ชุดราคาแพงกลับชะลอตัว อสังหาริมทรัพย์ประเภทหนึ่งที่น่าสนใจในกัมพูชาก็คือ การให้ต่างชาติเช่าพื้นที่ท านา หรือร่วม ทุนกับชาติตะวันออกกลางท านา ปรากฏว่ามีการเข้ามาร่วมลงทุนมาก ท าให้กัมพูชามีสัดส่วนใน การส่งออกข้าวได้มากกว่าเดิม บรูไน รายได้ประชาชาติต่อหัวสูงกว่าไทยถึงประมาณ 5 เท่าตัว แต่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลับยังไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ยกเว้นการสร้างศูนย์การค้า โรงแรม ส่วนหนึ่ง ส่วนในภาคที่ อยู่อาศัยส่วนมากเป็นบ้านสร้างเองมากว่า มาเลเซีย การจับจ่ายใช้สอยของประชากรภายในประเทศยังสูงอยู่ ส าหรับมูลค่าการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาทในปี 2554 นั้นแยกเป็นที่อยู่อาศัย 620,000 ล้าน บาท อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ 280,000 ล้านบาท อุตสาหกรรม 115,000 ล้านบาท และ เกษตรกรรม 190,000 ล้านบาท นอกนั้นเป็นอื่น ๆ อสังหาริมทรัพย์ในมาเลเซียยังเติบโด โดยพิจารณาได้จากการที่มีที่อยู่อาศัยสร้างแล้วเสร็จ 4.51 ล้านหน่วย และในอนาคต จะมีแผนการสร้างเพิ่มอีก 584,546 หน่วย เวียดนาม ในด้านอสังหาริมทรัพย์พบว่า อาคารส านักงานชั้นดีในกรุงฮานอย ณ ไตรมาส 1/2555 มี 290,000 ตารางเมตร ค่าเช่าประมาณ 1,000 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน แต่มีอัตรา ว่างถึง 35% ในขณะที่ในนครโฮชิมินห์มี 137,000 ตารางเมตร แต่ค่าเช่าดีกว่าคือเดือนละ 1,500 บาท และมีอัตราว่างน้อยกว่าคือเพียง 16% ถ้าเทียบกับไทยสถานการณ์ถือว่าแย่กว่า แต่ ก็อยู่ในภาวะฟื้นตัวขึ้นกว่าแต่ก่อน สิงคโปร์ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสิงคโปร์เติบโตอย่างรวดเร็ว ห้องชุดในสิงคโปร์มีราคาปานกลาง สูงถึง 300,000 บาท โดยในใจกลางเมืองมีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 2.8% ส่วนในเขตชานเมือง มีอัตราผลตอบแทน 4.8% โดยที่สิงคโปร์เป็นแหล่งจับจ่ายสินค้าของภูมิภาคอาเซียน จึงท าให้ พื้นที่ขายศูนย์การค้าค่อนข้างแพง โดยในเขตใจกลางเมือง มีอัตราสูงถึง 700,000 – 1,000,000 บาทต่อตารางเมตร
ขณะนี้คาดว่าสิงคโปร์จะเข้าสู่ภาวะถดถอยลงในระดับหนึ่งเพราะพิษเศรษฐกิจยุโรปและ สหรัฐอเมริกา จึงคาดว่าภาคอสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลกระทบไปด้วย อินโดนีเซีย อาคารส านักงานมีอัตราค่าเช่าเฉลี่ยประมาณ 544 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน 3.51% และมีอัตราว่างเพียง 11% ส่วนโรงแรมชั้นหนึ่งมีค่าเช่าค่อนข้างสูง เพราะมีจ านวนจ ากัดคือคืนละประมาณ 2,837 บาท ส าหรับห้องชุดใจกลางกรุงจาการ์ตามีราคา 56,000 บาทต่อตารางเมตร และพื้นที่ค้าปลีกมีค่า เช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,755 บาทต่อตารางเมตร อินโดนีเซียมีความมั่นคงทางการเมืองสูง ประเทศมี ขนาดใหญ่และมีทรัพยากรมาก โอกาสการเติบโตในอนาคตยังมีอย่างต่อเนื่อง “จะเห็นได้ว่าแม้ภาวะเศรษฐกิจโลกจะตกต่ า แต่ก็ส่งผลกระทบไม่มาก หากประเทศใดมีพื้นฐาน ทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง มีทรัพยากรและประชากรเป็นจ านวนมาก ในอนาคตเมื่อมีเกิด ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ ASEAN Economic Community (AEC) แล้ว เศรษฐกิจและ อสังหาริมทรัพย์ในแต่ละประเทศอาจมีความสัมพันธ์กันมากขึ้นอีก ประเทศไทยต้องสามัคคีกัน พัฒนาประเทศและเศรษฐกิจให้เข้มแข็งเพื่อการรับมือกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอนาคต อันใกล้นี้” ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่า อสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส กล่าวสรุป
ที่มา : เดลินิวส์

ผลกระทบอื่นที่จะเกิดกับไทย
คลังเมินลดภาษี การลงทุนต่างประเทศ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า ได้มีการพิจารณาข้อเสนอ ของเอกชนที่เสนอขอให้ยกเว้นภาษีเงินได้จากการลงทุนต่างประเทศ ซึ่งพบว่ามีจุดรั่วไหล ท า ให้มีการเลี่ยงภาษี ด้วยการไปตั้งบริษัทลูกในต่างประเทศที่จัดเก็บภาษีนิติบุคคลต่ ากว่าไทย และยังน ารายได้เข้ามาโดยไม่ต้องภาษีให้กับประเทศ อีกกรณีที่บริษัทที่เคยท าธุรกิจในไทยและส่งสินค้าไปขายในต่างประเทศ เมื่อมีรายได้ก็เสียภาษี ให้กับประเทศปกติแต่หากบริษัทดังกล่าวออกไปตั้งบริษัทลูกในต่างประเทศเพื่อจาหน่ายสินค้า แทนบริษัทในประเทศ และสามารถน ารายได้กลับเข้าประเทศโดยไม่ต้องเสียภาษี เพราะถือเป็น การลงทุนในต่างประเทศ เรื่องนี้ทาให้เป็นช่องทางที่ท าให้ประเทศต้องเสียรายได้ไป ซึ่งเคยตั้ง ข้อสังเกตดังกล่าวกับภาคเอกชนแล้ว และต่างเห็นด้วยว่าอาจมีปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง นอกจากนี้ กฎหมายของไทยก าหนดว่า กรณีบริษัทจากัดตั้งบริษัทลูกในไทย เงินปันผลจาก บริษัทลูกในประเทศได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคลล 50% ขณะที่บริษัทที่จดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เงินปันผลจากบริษัทลูกในประเทศได้รับการยกเว้นภาษีทั้ง 100% ขณะเดียวกัน ปัจจุบันภาษีนิติบุคคลของไทยได้ปรับลดลงต่อเนื่องจาก 30% เหลือ 23% ในปีนี้ และจะลดลงเหลือ 20% ในปีหน้า ซึ่งถือเป็นแนวทางหนึ่งในการลดภาระให้กับผู้ประกอบการ ไทยอยู่แล้ว ดังนั้น ข้อเสนอไม่เก็บภาษีรายได้จากการไปลงทุนต่างประเทศยังไม่ใช่เรื่องที่จ าเป็นเร่งด่วนยัง มีเวลาในการศึกษาข้อเสียที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อานวยการสานักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กล่าว ก่อนหน้านี้ได้นา เสนอแพ็กเกจลดภาษีไปยังนายกิตติรัตน์แล้ว ซึ่ง รมว.คลังขอให้กลับมาดูว่าหากเมื่อต้องลด ภาษีให้กับนักลงทุนไทยที่จะออกไปลงทุนยังต่างประเทศแล้ว จะใช้แนวทางใดในการหารายได้ชดเชยภาษีที่หายไป พร้อมทั้งพิจารณาว่ามีช่องโหว่ตรงไหนที่จะเกิดการเลี่ยงภาษีหรือไม่ โดย สศค.คาดว่า จะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือนในการพิจารณาและนาเสนอไปยังนายกิตติรัตน์อีกครั้ง ปัจจุบันนักลงทุนไทยน าเงินออก ไปลงทุนยังต่างประเทศปีละ1.5 หมื่นล้านบาทถือว่าน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับสิงคโปร์และมาเลเซีย อย่างไรก็ดี รัฐบาลมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้เอกชนที่ มีศักยภาพออกไปลงทุนในอาเซียน หลังจากที่การรวมตัวของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออี ซี) เริ่มมีผลบังคับใช้อีก3 ปีข้างหน้า มาตรการทางด้านภาษีก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริม เอกชน
ที่มา : โพสต์ทูเดย์

ข้อมูลของแต่ละประเทศในAEC
รูปแบบการพัฒนาทางเศรษฐกิจของเวียดนามและความ ยั่งยืน เป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่า การปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งประวัติศาสตร์ของเวียดนามเกิดขึ้นเมื่อปี 2529 โดยใช้ชื่อเรียกว่า ดอย เหม่ย (Doi Moi) การปฏิรูปนี้ท าให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตอย่าง งดงามในช่วง 26 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเศรษฐกิจเวียดนามได้เดินมาสู่หนทางแห่ง ความท้าทายใหม่ของการปฏิรูป ซึ่งจะเป็นตัวก าหนดชะตากรรมของการพัฒนาเศรษฐกิจ เวียดนามในอนาคต
การปฏิรูปเศรษฐกิจ ดอย เหม่ย ถือเป็น “หลักไมล์” ส าคัญในการเปลี่ยนเวียดนามจากระบบ เศรษฐกิจที่วางแผนโดยส่วนกลาง ไปสู่การใช้ระบบเศรษฐกิจแบบกลไกตลาดมากขึ้น ลด บทบาทภาครัฐ เพิ่มบทบาทภาคเอกชน และมุ่งสู่แนวทางเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ (Economic Liberalization)
แม้ตลอดระยะเวลาแห่งการปฏิรูปนี้ได้ท าให้ภาพรวมเศรษฐกิจเวียดนามดีขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏ มาก่อน อาทิเช่น เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 7% ต่อปี เปลี่ยนจากเป็น ประเทศยากจนมาก กลายเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับกลาง และมีการเปิดกว้างทางการค้าการ และการลงทุนกับต่างประเทศมากขึ้น ทั้งยังเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนในปี 2538 และสมาชิก องค์กรการค้าโลก (WTO) ในปี 2550 ตามล าดับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง การปฏิรูปชักจะไม่สดใส ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจด้านมห ภาค (Macroeconomic Indicators) หลายตัวเริ่มสะท้อนความป่วยไข้ของเศรษฐกิจเวียดนาม อาทิเช่น เวียดนามขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องเกือบตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา และเมื่อ 4 ปีที่ผ่าน (2551-2554) มาเวียดนามประสบสภาวะเงินเฟ้อสูงที่สุดในเอเชีย คือสูงถึง 16 เปอร์เซ็นต์
ขณะเดียวกัน ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเวียดนามต้องปรับลดค่าเงินหลายครั้งเพื่อหนุนการส่งออก เงินทุนเริ่มขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจเวียดนามและโยกเงินออกไปลงทุนที่อื่น เป็นสาเหตุ ส าคัญที่ท าให้ทุนส ารองระหว่างประเทศลดลงจากประมาณ 23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2550 เหลือเพียงประมาณ 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ เป็น สถานการณ์ที่ตรงข้ามกับแนวโน้มของประเทศเกิดใหม่ทางเศรษฐกิจอื่นๆ ในเอเชีย ซ้ าร้ายไปกว่านั้น การจัดอันดับความสะดวกในการเข้าไปด าเนินธุรกิจของแต่ละประเทศโดย ธนาคารโลก ซึ่งวัดจากตัวชี้วัดด้านการประกอบธุรกิจ 10 ตัว เช่น การหาสินเชื่อในการลงทุน ระบบการช าระภาษี การคุ้มครองนักลงทุน พบว่า เวียดนามอยู่อันดับที่ต่ ามาก คืออันดับที่ 98 จากจ านวน 183 ประเทศ ขณะที่ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 17 และสิงคโปร์ เป็นอันดับที่ 1 มากไปกว่านั้น เวียดนามก าลังประสบกับปัญหาพลังงานไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทั้งยังมี ต้นทุนค่าขนส่งที่สูง อันเนื่องมาจากการขาดระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่ อย่างเช่น ฮานอย และ โฮจิมินห์ ปรับตัวขึ้นมาก เกินกว่า อ านาจซื้อของคนส่วนใหญ่จะไล่ตามทัน เกิดการขยายตัวของความไม่เท่าเทียมระหว่างเมืองกับ ชนบท รวมถึงปัญหาสังคมต่างๆ ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้แต่รายงานของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของเวียดนามเอง เช่น รายงานความสามารถทางการ แข่งขันปี 2553 รายงานการพัฒนาเศรษฐกิจเวียดนามปี 2553 และ ปี 2554 ก็ยอมรับว่า การ เติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม เป็นการเติบโตแบบไม่มีคุณภาพและไม่ยั่งยืน มีการก่อ มลภาวะสูงจากกระบวนการผลิต ขณะเดียวกัน ไม่สามารถเพิ่มมูลค่าเพิ่ม (Value Addition) ให้กับสินค้าที่ส่งออก อีกทั้งผลิตภาพการผลิต (Productivity) ของภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้ม ที่ลดลงต่อเนื่อง สรุปคือ เวียดนามก าลังตกอยู่ใน “กับดัก” ของการพัฒนา คือ ยิ่งพยายามพัฒนา ยิ่งสร้างปัญหา ในการพัฒนา ดังนั้น ความจ าเป็นเร่งด่วนของเวียดนามตอนนี้คือ ต้องท าการปฏิรูปโครงสร้าง เศรษฐกิจขนานใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลและคนเวียดนามก็ทราบดี สังเกตได้จากการประกาศแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา เศรษฐกิจและสังคม 2554-2564 โดยตั้งเป้าหมายส าคัญไว้คือ ต้องสร้างเสถียรภาพทาง เศรษฐกิจ ก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานระดับโลก (World Class Infrastructure) ผลิต แรงงานที่มีฝีมือ และสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันและองค์กรต่างๆของ “ตลาด” (Strengthen Market-based Institutions) เป้าหมายเหล่านี้ถือว่าเป็นการ “ปลดล็อค” ให้เวียดนามสามารถพัฒนาเศรษฐกิจต่อไปได้อย่างมี คุณภาพ อย่างไรก็ตาม จะท าได้มากน้อยแค่ไหน ท าโดยวิธีใด และใช้เวลานานเท่าไหร่ กว่าเวียดนามจะ หลุดออกจากปัญหาโครงสร้างนี้ ยังเป็นความท้าทายของเวียดนาม ผมเชื่อว่า ถ้าเวียดนามสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ไปได้อย่างดี จะสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้า ไปมากขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้เวียดนามสามารถปฏิรูปภาคอุตสาหกรรม และยกระดับสู่ เศรษฐกิจสมัยใหม่ (Modern Economy) ซึ่งแน่นอนว่า ศักยภาพของเวียดนามจะเพิ่มมหาศาล โอกาสที่เศรษฐกิจเวียดนามซึ่งปัจจุบันมีขนาดประมาณ 125,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เล็กกว่า ขนาดเศรษฐกิจไทยประมาณ 3 เท่า จะสามารถไล่ทันเศรษฐกิจไทยในเวลาไม่ถึง 10 ปี ในทางกลับกัน ถ้าเวียดนามไม่สามารถออกจากวังวนของปัญหานี้ได้ โอกาสที่เวียดนามจะเดิน ไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตการเมือง และวิกฤตสังคม ก็มีความเป็นไปได้สูง แต่ไม่ว่าเวียดนามจะปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งนี้ได้ส าเร็จงดงาม หรือล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ย่อมมี นัยต่ออาเซียนและประเทศไทยโดยไม่ต้องสงสัย การติดตามพัฒนาการเศรษฐกิจเวียดนาม หลังจากนี้อย่างใกล้ชิด จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้ ที่มา : วันวลิต ธารไทรทอง สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD) การปรับตัวกลยุทธ์เมื่อเป็นAEC ภาครัฐต้องให้การสนับสนุนเอกชนในการสู้ศึก AEC นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียนกล่าวในหัวข้อ “ASEAN as and Engine of Economic Growth” ว่า ความท้าทายของธุรกิจไทย คือ การร่วมมือกันในหลายเรื่องเพื่อรักษา ความน่าสนใจและการดึงดูดให้เป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างประเทศเหมือนที่เคยเป็นมา เช่น การเปิดตลาดทางการค้าระหว่างกัน การลงทุนข้ามประเทศ การเคลื่อนย้ายเงินลงทุน ทั้งนี้ ปัจจุบันการลงทุนทางตรง (FDI) กลุ่มอาเซียนมีทั้งหมด 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐแต่เงิน ลงทุนส่วนใหญ่ได้เข้าไปลงทุนในประเทศสิงคโปร์เป็นอันดับแรกและมาเลเซียเป็นอันดับสอง ส่วนของไทยเป็นอันดับสาม และ 70% ของเงินลงทุนทางตรงเริ่มเปลี่ยนไปสู่ในธุรกิจกลุ่ม บริการ ซึ่งต่างจากเดิมที่เน้นการลงทุนทางด้านภาคการผลิต เช่น รถยนต์ ซึ่งนั่นหมายความว่า คนอาเซียนต้องการการบริการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะมีก าลังซื้อที่มากขึ้น รวมถึงต้องการ ระบบขนส่ง การศึกษาหรือสุขภาพที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี มีความเป็นห่วงจากการรวมกลุ่มอาเซียนคือ ความพร้อมของภาคเอกชนไทยที่ก าลัง ก้าวสู่การแข่งขันบนเวทีโลกเพื่อรับโอกาสและศักยภาพที่กลุ่มอาเซียนมีอยู่ เพราะประเทศไทย มีความคุ้นเคยและพอใจกับค าว่าแค่นี้ แต่ในเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์เป็นสิ่งที่สามารถให้ธุรกิจ ไปโตในต่างประเทศได้ อย่างที่สิงคโปร์และญี่ปุ่นเป็น และมาเลเซียก าลังเริ่มเข้าสู่การ เปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เห็นได้จากการลงทุนของกลุ่มซีไอเอ็มบี จากมาเลเซียที่เข้ามาลงทุนใน ภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น สิ่งที่สามารถจะทาให้ได้ก้าวไปอยู่ในทิศทางการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือ พวกเราต้องฝ่าการ เติบโตแบบโมเดลจากคนรุ่นก่อนที่สร้างไว้ เพื่อขออนุญาตให้ขยายไปธุรกิจในต่างประเทศได้ โดยสิ่งหนึ่งคือการที่รัฐควรเข้ามาสนับสนุนภาคเอกชนอย่างจริงจัง เช่น เอกชนควรได้รับการ ยกเว้นภาษีในเงินที่น าไปสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา เพราะปัจจุบันไทยมีเงินสาหรับงาน ด้านวิจัยและพัฒนาเพียง 0.24% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ขณะที่ เกาหลีมีมากถึง 2.8-2.9% จีนมีเกือบ 2% และญี่ปุ่นอยู่ที่ 4% ซึ่งหมายถึงการมีงานดีไซน์ที่ ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ มีเทคโนโลยี เพราะการที่ไทยไม่พัฒนาจะทาให้ ไทยสู้ประเทศอื่นไม่ได้ เพราะมีวิธีการผลิตที่เหมือนกันแต่ประเทศอื่นมีต้นทุนที่ถูกกว่าเช่น แรงงานต้องไปที่จีนหรือพม่า ดังนั้น การที่จะให้บริษัทลงทุนในเรื่องของงานวิจัยและผลิตภัณฑ์ ใหม่ๆ รัฐต้องเข้ามาช่วย กระทรวงการคลังต้องช่วย บีโอไอต้องช่วยเป็นกลยุทธ์ที่จะต้องปรับ เป็นโครงสร้างของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และต้องคุมสถานการณ์ให้ได้ อาเซียนก าลังมา เหมือนสึนามิ เรามีความรู้สึกยังไง ต้องรอด คนไทยเก่งพอ ผมเชื่อแบบนั้น หลายประเทศอยู่ หลังเรา เราไปก่อนเขาหลายเรื่อง การรวมตัวกันของอาเซียนจะไม่เกิดปัญหาเหมือนยูโรโซน เพราะเราไม่มีแนวคิดที่จะใช้เงินสกุล เดียวกัน อาจจะมีผลกระทบบ้าง หากเศรษฐกิจในบางประเทศมีปัญหา เหมือนที่เคยเกิดขึ้น ในช่วงปี 2540 ที่ค่าเงินไทยมีปัญหาและส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังประเทศอื่นในภูมิภาคต่อ แต่วิกฤตยูโรโซนครั้งนี้ไม่รุนแรงและเชื่อว่าแต่ละประเทศสามารถประคับประคองได้ ส่วนไทยจะ ได้รับผลกระทบโดยตรงคือเรื่องที่จะมีนักเที่ยวมาไทยน้อยลง ส่งออกได้น้อยลงและกลุ่มยุโรป จะเข้ามาลงทุนในไทยน้อยลง ประทีป ตั้งมติธรรม ในฐานะอุปนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย กล่าวในงานสัมมนา การ ส่งเสริมการลงทุนต่างประเทศของภาคเอกชนไทย ว่า ปัจจุบันจะเห็นบริษัทต่างชาติเข้ามา ลงทุนในประเทศไทยจ านวนมากแต่พบว่าจ านวนบริษัทไทยไปลงทุนต่างประเทศยังไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ อุปสรรคส าคัญน่าจะมาจากข้อจ ากัดหลายๆด้าน คือ 1. ข้อจ ากัดการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ 2.กฎหมายระหว่างประเทศที่เป็นอุปสรรค และ 3.ความเข้าใจกฎหมาย ประเพณีท้องถิ่นระหว่างกันยังมีไม่มาก ปัจจุบันสานักงานคณะกรรมการก ากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างการแก้ข้อจ ากัดรวมถึงกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพื่อเพิ่ม ขีดความสามารถในการไปลงทุนยังต่างประเทศทั้งทางตรง และลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ของไทย ทั้งนี้ เชื่อว่าภาคเอกชนของไทยมีความเข้มแข็งทางการเงินในระดับสูง ทาให้มีความพร้อมใน การลงทุน โดยในแง่ของต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ส่วนใหญ่ในขณะนี้ จะอยู่ที่ระดับประมาณ MLR-2% ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับก่อนวิกฤตต้มยากุ้งอยู่ที่ระดับ เฉลี่ย 13% ถือว่ามีความพร้อมในด้านการลงทุนได้อีกมาก นอกจากนี้กรณีภาครัฐจะลดภาษีนิติ บุคคลจาก 30% เหลือ 23% ในปีนี้ และปีหน้าเหลือ 20% จะทาให้ภาคเอกชนของไทยมี เงินทุนเหลือในการพิจารณาไปลงทุนยังต่างประเทศ
ที่มา : พนิตศรณ์ หวังจงชัยชนะ โพสต์ทูเดย์

บทความและบทวิเคราะห์AEC
การลงทุนของจีน, ญี่ปุ่นและไทยใน CLMV ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน (1/2) การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economic Community-AEC) ในปี 2558 นอกจากชาติในอาเซียนจะได้ประโยชน์จากการลงทุนและค้าขายระหว่างกันแล้ว ประเทศ “คู่ เจรจา” โดยเฉพาะ “จีน” และ “ญี่ปุ่น” มองการณ์ไกลถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับก่อนกระแส AEC และก่อนที่เมียนมาร์จะเปิดประเทศ ด้วยซ้ า โดยทั้งสองยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียได้เข้ามาปักธงอย่างจริงๆ จังๆ ใน 3 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์ ซึ่งเป็นประเทศในกลุ่ม CLMV มาเกือบ 10 ปีแล้ว ต่างกับประเทศไทยแม้จะมี พรมแดนใกล้ชิดติดกันแต่ในปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment- FDI) กลับมีอันดับที่ไม่น่าพอใจนัก ท าท่าจะถูกเบียดแซงตกขอบ แม้ญี่ปุ่นจะประสบปัญหาเศรษฐกิจไม่แพ้ชาติตะวันตก แต่กลับมีการลงทุนนอกประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียนเป็นจ านวนมาก (ปัจจุบันเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับ 1 ในไทย) โดย ญี่ปุ่นจะใช้แผนเดิมๆ แต่ได้ผลในการรุกเข้ามาในอาเซียนด้วยการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานให้กับประเทศนั้นๆ เช่น การสร้างถนนหนทางในอาเซียน โดยหน่วยงานที่มีบทบาท ส าคัญ คือ ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย หรือ ADB ขณะที่จีน นโยบายของรัฐบาลกลางมีเป้าหมายชัดที่จะกระจายความเจริญไปยังภาคตะวันตก ของประเทศมากขึ้น โดยต้องการจะยกระดับเมือง “คุนหมิง” ให้เป็นศูนย์ทางการค้าส าคัญแห่งที่ 4 นอกเหนือจากปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว เพื่อให้คุนหมิงเป็นเหมือน “เมืองหน้าด่าน” ใน การค้าขายกับอาเซียนโดยเฉพาะ ตามมาด้วยการก่อสร้างสนามบินขนาดใหญ่อันดับ 4 ของ ประเทศ โดยวางคุนหมิงให้เป็นศูนย์กลางการเงินแห่งใหม่ที่จะน าเงินสกุล “หยวน” ออกสู่ อาเซียน ถือเป็นการแสดงเจตจ านงของจีนว่า “เอาจริง” กับการรุกอาเซียนเต็มตัว มาถึง “ภาคธุรกิจไทย” แม้จะมีนักลงทุนบางส่วนเข้าไปลงทุนใน 3 ประเทศนี้มานาน ขณะที่ สินค้าไทยยังได้รับการตอบรับที่ดีโดยเฉพาะในแง่คุณภาพ แต่หากทุนจากจีนและญี่ปุ่นยังคง “เปิดเกมรุก” อย่างหนักหน่วงเช่นนี้ต่อไป เป็นไปได้ว่าไทยอาจจะไม่ได้มีอิทธิพลสูงสุดใน ภูมิภาคนี้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ส านักวิจัยทางเศรษฐกิจหลายแห่งต่างให้ความเห็นตรงกันว่า กลุ่มประเทศเพื่อน บ้านจะเป็นแรงขับเคลื่อนส าคัญทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคตหลังเปิดAECเนื่องจาก มาตรการภาษีจะถูกยกเลิกไป หากทุนไทยยังไม่ “กล้า” รุกมากกว่านี้ อาจพลาดโอกาสส าคัญ ไปทั้งๆ ที่มีพรมแดนติดกัน ดร.ปิติ ศรีแสงงาม อาจารย์ประจ าสาขาเศรษฐศาสตร์และการเงินระหว่างประเทศ คณะ เศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ญี่ปุ่นยังคงมีอิทธิพลในภูมิภาคนี้แม้จะเผชิญ กับปัญหาเศรษฐกิจ โดยให้ความช่วยเหลือด้านระบบขนส่งกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน “ญี่ปุ่นต้องการเข้ามามีบทบาทส าคัญในโครงการนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ าลึกทวาย และ จะเป็นนักลงทุนหลักที่เข้ามาลงทุนในโครงการนี้ ญี่ปุ่นจึงเป็นสนับสนุนหลักในการสร้างถนนจาก ทวายมายังชายแดนบ้านพุน้ าร้อนจังหวัดกาญจนบุรีของไทย และสร้างถนนซูเปอร์ไฮเวย์ต่อไป ยังท่าเรือแหลมฉบัง จะช่วยย่นระยะเวลาการขนส่งสินค้าจากมหาสมุทรอินเดียไปมหาสมุทร แปซิฟิกไปได้ถึง 3 วัน ขณะเดียวกัน ถนนในเมียนมาร์ก็ได้จีนเป็นผู้สนับสนุนหลัก” สองประเทศนี้มีเจตนาในการเข้ามาลงทุนในเมียนมาร์ชัดเจนมาก “ดร.ปิติ” ฟันธง ด้าน ทรงฤทธิ์ โพนเงิน ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มประเทศอินโดจีน ให้ข้อมูลว่า กัมพูชามีแผนที่จะเปิด เขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone) ให้ได้ 21 แห่งภายในปี 2558 โดยเขต เศรษฐกิจพิเศษที่เปิดไปแล้ว อาทิเช่น ที่พนมเปญ ปอยเปต บาเวท เกาะกง สีหนุวิลล์ กัมปง โสม ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากจีนและมาเลเซีย โดยเฉพาะที่กัมปงโสมถือเป็นเมืองท่าเรือ ส าคัญ ส่วนที่สีหนุวิลล์มีการก่อสร้างกาสิโน “ปีที่แล้วจีดีพีของกัมพูชาเติบโต 7% ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนของจีนซึ่งเข้ามาขยายอิทธิพล ทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องหลายปีติดต่อกัน” เขาระบุว่า สิ่งที่ต้องจับตา คือ หากคดีเขาพระวิหารที่ศาลโลกก าลังจะตัดสินในเร็วๆ นี้ หากค า พิพากษาออกมาแล้วท าให้บรรยากาศการเมืองระหว่างไทยกับกัมพูชาดีขึ้น รัฐบาลฮุนเซนน่าจะ เริ่มโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจค) “โรงกลั่นน้ ามัน” แห่งแรกของประเทศ โดยจะขุดน้ ามัน จากบริเวณพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย (บริเวณเกาะกง) กับกัมพูชา โดยพื้นที่ดังกล่าวมี บริษัทเชฟรอน คอร์เปอเรชั่น จากสหรัฐ ได้รับสัมปทานส ารวจและผลิตปิโตรเลียม โดยคาดว่า บริษัทญี่ปุ่นจะได้สัมปทานก่อสร้างโรงกลั่น ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลกัมพูชาปีละกว่า 2,000 ล้านบาท ส่วนประเทศลาว ก็ก าลังมีแผนที่จะพัฒนา 41 เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเสร็จไปแล้ว 3 แห่ง อาทิเช่น แห่งแรกเกิดขึ้นที่ สะหวันเขต (เขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน) ชายแดนจังหวัดมุกดาหาร แห่งที่สอง คือ เขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อเต็น แขวงหล่องน้ าทา ติดชายแดนจีน ซึ่งจีน เป็นผู้ลงทุน 100% เรียกว่า “บ่อเต็นแดนค า” มีการลงทุนสร้างสถานที่ท่องเที่ยวอย่างกาสิโน รวมถึง เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองค า เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว (ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย) ก็สร้างกาสิโนที่มีชื่อเสียงอย่าง “คิง โรมัน” และจะมีสนามบินนานาชาติภายใน 5 ปี ข้างหน้า “ทุนไทยที่เข้าไปลงทุนในลาวอย่างเช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ที่ยึดพื้นที่ภาคกลางของ ประเทศและกลุ่มน้ าตาลมิตรผล ส่วนจีนจะยึดการลงทุนภาคเหนือของลาว ส่วนภาคใต้จะเป็น การยึดหัวหาดของทุนเวียดนาม จีนก าลังมีอิทธิพลในลาวมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2540 ตอนนั้น ไทยมีปัญหาเศรษฐกิจ (วิกฤติต้มย ากุ้ง) เลยถอยไปเยอะ แม้คนเก่าจะไม่ออก แต่คนใหม่ก็ไม่ เข้าไปอีก” ที่ส าคัญ การลงทุนของจีนกับลาวเป็นโครงการที่ตกลงกันระหว่าง “รัฐต่อรัฐ” (G to G) โดย สร้างถนนหนทางให้เป็นพิเศษ รวมถึงสร้างโรงแรมซึ่งชนกับทุนไทยโดยตรง ที่ต้องจับตาคือจีน มีบทบาทมากในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ าโดยเฉพาะตอนบนของแม่น้ าโขง แม้ปัจจุบันเวียดนามยังครองสัดส่วนการลงทุนตรงในลาว ด้วยมูลค่าประมาณ 5,600 ล้าน ดอลลาร์ โดยเฉพาะตามแนวเขตชายแดน ส่วนไทยกับจีนมีมูลค่าลงทุนใกล้เคียงกันอยู่ระดับ 4,000 ล้านดอลลาร์กับ 3,200 ล้านดอลลาร์ แต่เชื่อว่าปีหน้าจีนจะแซงหน้าเวียดนามแน่นอน หากพิจารณาจากโครงการที่รอเซ็นเอ็มโอยู “น่าเสียดายที่ในช่วงหลายปีก่อนไทยมัวแต่แข่งกีฬาสี ท าให้พลาดโอกาสลงทุนประเทศเพื่อน บ้าน ตอนนี้บอกได้ว่าทุนไทยไม่แข็งแกร่งไปกว่าจีนและเวียดนาม เพราะรัฐบาลเรานิ่ง ส่วนสอง ประเทศนี้รัฐบาลเขาส่งเสริมมาก” ด้านมุมมองของนักธุรกิจ สมเจตน์ ทิณพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวาย ดีเวล๊อปเมนต์ จ ากัด (DDC) ให้ความเห็นว่า อาเซียนยังคงต้องพึ่งพาการลงทุนจากญี่ปุ่นอยู่มากโดยเฉพาะ ประเทศที่เพิ่งเปิดอย่างเมียนมาร์ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา เมียนมาร์ถูกคว่ าบาตรจากชาติตะวันตก ท าให้สหรัฐไม่สามารถเข้ามาลงทุนได้ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังสนับสนุนโครงการลงทุนในกลุ่ม GMS (The Greater Mekong Subregion) คือ ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และยูนนาน (จีน ตอนใต้) มานานแล้ว ประกอบกับ ภาคเอกชนญี่ปุ่นมีความเข้มแข็งทางการเงินสูง เขายังเชื่อว่า จีนไม่น่าจะเข้ามาสร้างอิทธิพลในเมียนมาร์ได้มากกว่าญี่ปุ่นเพราะสหรัฐคงพยายามเต็มที่ในการ สกัดกั้นทุนจีนผ่านญี่ปุ่น เขา บอกว่า การที่รัฐบาลไทยได้เข้าไปพูดคุยกับรัฐบาลญี่ปุ่นเรื่องการพัฒนาท่าเรือทวาย น่าจะ ท าให้เกิดความร่วมมือระหว่าง 3 ชาติคือไทย ญี่ปุ่นและเมียนมาร์ ในการจัดตั้งองค์กรกลาง บริหารโครงการทวาย แหล่งเงินกู้ โดยเขามองว่าญี่ปุ่นยังคงมีบทบาทมากที่สุดในเมียนมาร์ “ญี่ปุ่นมองการเชื่อมการคมนาคมขนส่งระหว่างมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก ท าให้สนใจที่จะ เข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้อย่างมากโดยเฉพาะโครงการทวาย เป็นไปได้ว่าโครงการนี้น่าจะมีนัก ธุรกิจจากญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนมากที่สุด ที่แน่ๆ คือ โรงถลุงเหล็กต้นน้ า” สมเจตน์เชื่อเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม เขามองว่าไทยยังคงมีบทบาทในภูมิภาคนี้อยู่ไม่น้อย เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้าน มองภาพลักษณ์สินค้าจากไทยในแง่บวก ขณะที่ในด้านอื่น เช่น การบริหารจัดการจะดูต้นแบบ จากสิงคโปร์และมาเลเซีย เป็นหลัก บุญเกียรติ ชีวตระกูลกิจ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จ ากัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟได้เข้าไปลงทุนในประเทศเมียนมาร์และลาวมาเป็นเวลากว่า 10 ปีในธุรกิจการเกษตร ในช่วงแรกของการเข้าไปลงทุนยอมรับว่าต้องสร้างผลประโยชน์ ให้กับประเทศเขาพอสมควรในการช่วยพัฒนาระบบเกษตร ท าให้ตอนนี้ไก่ 80% ที่บริโภคใน เมียนมาร์มาจากซีพี ส าหรับการรุกเข้ามาของทุนจีนและญี่ปุ่นในภูมิภาคอาเซียนนั้น เขายอมรับว่า คงล าบากที่จะ แข่งขันในเรื่องของต้นทุนเนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่กว่า แต่กลยุทธ์ที่ซีพีเอฟเลือกใช้คือการโฟกัส ในธุรกิจอาหารที่มีมาร์จินสูง ไม่ลงไปแข่งในตลาดที่สินค้าราคาต่ า เพราะจีนได้เปรียบเพราะมี ฐานการผลิตที่ใหญ่กว่า “ผมยังยืนยันว่าภาพลักษณ์สินค้าไทยยังดูดีในภูมิภาคนี้ขอให้ใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์รับมือการ เข้ามาของกลุ่มธุรกิจจากจีนหรือญี่ปุ่น”
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

บทความและบทวิเคราะห์AEC การลงทุนของจีน, ญี่ปุ่นและไทยใน CLMV ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน (2/2) จับตา “เอเชีย เวิลด์” ทุนสิงคโปร์สยายปีกในเมียนมาร์ นอกจากกลุ่มทุนจากจีนและญี่ปุ่นแล้ว กลุ่มทุนจากประเทศอาเซียนด้วยกันอย่างสิงคโปร์ มาเลเซียรวมถึงเวียดนาม ต่างพยายามเข้าไปลงทุนในกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ“กลุ่มทุนสิงคโปร์” ที่รุกเข้ามาขยายอิทธิพลในเมียนมาร์ชนิดที่ทุน ไทยต้องหันมามอง โดยสิงคโปร์เข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้านการจัดการอัตราแลกเปลี่ยนให้กับเมียนมาร์ เริ่มจากโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษ Thilawa Special Economic Zone ใกล้เมืองหลวงเก่า ย่างกุ้ง จ านวนพื้นที่รวม 3,170 เอเคอร์ แต่มีเขตการลงทุนพิเศษส าหรับสิงคโปร์โดยเฉพาะที่ เรียกว่า Singapore Myanmar Development (SINMARDEV) พื้นที่ 247 เอเคอร์ ที่เหลือเป็น เขตการลงทุนส าหรับประเทศอื่นและธุรกิจท้องถิ่น แสดงให้เห็นว่าสิงคโปร์มีอิทธิพลต่อการ พัฒนาเศรษฐกิจเมียนมาร์พอสมควร โดยกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ที่ก าลังมาแรงในเมียนมาร์ คือ บริษัท เอเชีย เวิลด์ จ ากัด มีผู้บริหาร สูงสุด คือ Steven Law ซึ่งมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลเมียนมาร์ รวมถึงเป็นตัวเชื่อมไปถึง รัฐบาลจีนอีกด้วยโดยเป็นคนพาประธานาธิบดีเมียนมาร์ พล.อ.เต็ง เส่ง ไปพบกับผู้น าสูงสุดของ จีน เอเชีย เวิลด์ ยังมีธุรกิจหลากหลาย ได้แก่ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม พลังงาน โลจิ สติกส์ สิ่งทอ น้ ามันปาล์ม ผู้ผลิตเบียร์ไทเกอร์ รวมถึงมีเครือข่ายธุรกิจในมาเลเซียและไทยด้วย ผลงานของเอเชีย เวิลด์ ในเมียนมาร์ คือ การเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างครึ่งหนึ่งในกรุงเนย์ปิดอว์ เมืองหลวงใหม่ของเมียนมาร์ สร้างสนามบินนานาชาติ ทางด่วนเชื่อมระหว่างรัฐฉานในเมียนมาร์ กับคุนหมิงของจีน สร้างเขื่อนตลอดแนวแม่น้ าอิรวดี นอกจากนี้ ยังร่วมทุนกับกลุ่มโรงแรมแชงกรี-ลาจากมาเลเซีย Robert Kuok ลงทุนธุรกิจโรงแรม นอกจากนี้ ยังได้สัมปทานน าเข้าและ จ าหน่ายน้ ามันในประเทศ รวมถึงส ารวจแหล่งพลังงานในเมียนมาร์ “กลุ่มทุนสิงคโปร์ได้รับเงินทุนหลักจากกองทุนเทมาเส็กและจีไอซี ขณะเดียวกัน 3 ธนาคาร ใหญ่ที่สุดของอาเซียนยังเป็นของสิงคโปร์ทั้งหมด จึงไม่อาจกาชื่อสิงคโปร์ออกจากกลุ่มผู้มี อิทธิพลทางเศรษฐกิจในอาเซียนได้โดยจะเป็นผู้เล่นที่อยู่เคียงคู่กับจีนและญี่ปุ่น” นักวิชาการ ท่านหนึ่งให้ความเห็น
————————————–
จากเพื่อนบ้าน ขอนับญาติ “แม่สาว CLMV” เกมรุกที่กลุ่มทุนไทยท ามาอย่างยาวนานในการเจาะตลาดในกลุ่ม CLMV ส่วนใหญ่จะออกมาใน รูปของการส่งสินค้าไปจ าหน่าย จนแบรนด์สินค้าไทยเป็นที่ยอมรับเรื่องคุณภาพในสายตา ประเทศเหล่านั้น ทว่าในส่วนของการลงทุน ที่ผ่านมา เรียกว่ายังไม่ตูมตามเป็น “ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์” จนเมื่อนักลงทุนชาติต่างๆ อยากท าความรู้จักกับแม่สาว CLMV มากเข้าๆ เพราะรู้มาว่าเจ้าคุณ ทวดทิ้งมรดก (ทรัพยากร) ไว้ให้มากมาย ขณะที่สาวเจ้าก็อยากเปิดตัวเองสู่โลกกว้าง ทุนไทย จึงออกอาการ “รับไม่ได้” จากแค่เพื่อนบ้านจึงขอตีสนิทแบบนับญาติกับสาวเจ้า ทั้งๆ ที่ผ่านมา หลังคาเกยกันแท้ๆ ยังไม่คิดจีบเป็นแฟน ในระยะนี้ จึงเห็นความเคลื่อนไหวคึกคัก แย่งกับจีบสาวของ 2 กลุ่มทุนไทยยักษ์ใหญ่ อย่าง กลุ่มสหพัฒน์ เจ้าพ่อคอนซูเมอร์โปรดักท์เมืองไทย และกลุ่มเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของ เบียร์ช้าง (บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ) เพื่อเปิดเกมรุกในประเทศที่เต็มไปด้วยดีมานด์ในอนาคต เหล่านี้ โดยผู้บริหาร สหพัฒน์ ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า อยู่ระหว่างลงทุนสร้างสวนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ใน ย่างกรุง เมียนมาร์ ด้วยเงินลงทุนไม่ต่ ากว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการตั้งฐานการผลิตแห่ง ใหม่ของกลุ่ม เพื่อไปหาแหล่งผลิตที่มีต้นทุนที่ต่ ากว่า สวนอุตสาหกรรมที่ว่านี้จะประกอบด้วย โรงงานผลิตสินค้าคอนซูเมอร์ โปรดักท์ อาหาร เสื้อผ้า เครื่องส าอาง กว่า 100 โรงงาน มีขนาด การลงทุนใกล้เคียงกับฐานที่มั่นในไทย (สวนอุตสาหกรรมศรีราชา) นอกจากการผลิตจะรองรับดี มานด์ในประเทศแล้ว ผู้บริหารสหพัฒน์ยังมองไกลไปถึงการใช้เมียนมาร์เป็นฐานการผลิตป้อน ตลาดยุโรปในอนาคต ที่ผ่านมา ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ บริษัทในกลุ่มสหพัฒน์ได้เข้ามาปักธงตั้งโรงงานผลิตบะหมี่กึ่ง ส าเร็จรูป “มาม่า” ในเมียนมาร์ และมีแผนที่จะขยายก าลังการผลิตเพิ่มเติมจากนี้ ขณะที่ “เจริญ สิริวัฒนภักดี” ที่ผ่านมาได้เข้าไปท ารุกธุรกิจเกษตรท าคอนแทรคฟาร์มมิ่งใน ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่นานนี้ เขาประกาศชัดที่จะปักธงลงทุน 10 ประเทศอาเซียน รับการเกิดขึ้น รับ AEC โดยเฉพาะการรุกตลาดเบียร์และนอนแอลกอฮอล์ใน CLMV อย่างเป็นล่ าเป็นสัน เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เสี่ยเจริญลงทุนนั่งเครื่องบินไปเปิดโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วที่ใหญ่ที่สุดใน เวียดนาม มูลค่าลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท โดยฉลาดจับพันธมิตรร่วมทุนหนึ่งในนั้น คือ ไซ ง่อนเบียร์แอลกอฮอล์ เบฟเวอเรจ แสดงถึงเจตจ านงชัดว่าต้องการจะบุกตลาดเบียร์ในเวียดนาม การใช้ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ หรือ BJC เข้าร่วมทุนครั้งนี้ยังมีความหมายถึงการบุกธุรกิจโลจิ สติกส์ หัวใจธุรกิจจัดจ าหน่ายในเวียดนาม ขณะที่ สิงห์ คอร์ปอเรชั่น ก็ประกาศผ่านสื่อจะขอบุกตลาดอินโดจีนในแบรนด์สิงห์และลีโอ ใน อินโดจีน 6 ประเทศ ได้แก่ ลาว พม่า เวียดนาม มาเลเซีย กัมพูชา และจีนตอนใต้ หลังจากเห็น ว่าตลาดเบียร์ 2 แบรนด์นี้มีอัตราเติบโตสูง โดยเฉพาะในพม่าและกัมพูชา โดยกว่า 50% ของ ยอดขายเป็นการส่งออก ที่ปริมาณ 35-40 ล้านลิตรต่อปี โดยในพม่าและกัมพูชา สิงห์มีแผนที่จะ ตั้งส านักงานของตัวเองแทนการจ าหน่ายผ่านตัวแทนจ าหน่าย นอกจากนี้ จะศึกษารูปแบบการ ลงทุนที่เหมาะสม ต่อไป ไม่เพียงในเวียดนาม ล่าสุดเจริญน่าจะก าลังหวนคืนตลาดเบียร์ในลาวอย่างจริงจังในเร็ววัน หลัง เคยร่วมทุนในบริษัทเบียร์ลาวเมื่อปี 2002 กับคาร์ลสเบอร์ก จากเดนมาร์ก แต่ถือหุ้นได้เพียง 3 ปี กลุ่มเจริญก็ถอนตัวออกมา การรุกครั้งใหม่เปิดตัวด้วยสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง โดยใช้การเป็น สปอนเซอร์สโมสรระดับโลก บาร์เซโลนา และเรอัล มาดริด ของสเปน เป็นแม่เหล็กในการสร้าง กิจกรรมการตลาดเชื่อมโยงกับสองทีมฟุตบอลดัง ปูพรมสร้างการรับรู้แบรนด์ ก่อนที่จะรุกก้าว ใหญ่ๆ ต่อไปในดินแดนจ าปาลาว นอกจากนี้ “กลุ่มน้ าตาลมิตรผล” ธุรกิจกงสีของตระกูล ว่องกุศลกิจ ยังเป็นกลุ่มที่ประกาศรุก ธุรกิจในอาเซียน โดยที่ผ่านมา ได้ลงทุนโรงงานน้ าตาลในลาว (โรงงานน้ าตาลมิตรลาว) โดยจะ ใช้โมเดลนี้ต่อยอดไปสู่การลงทุนในเมียนมาร์ และกัมพูชา โดยอยู่ระหว่างศึกษาลู่ทางการลงทุน ในเมียนมาร์ ขณะที่ในกัมพูชา อยู่ระหว่างขอสัมปทานที่ดินเพาะปลูกอย่างถาวร ขณะที่ กลุ่มปูนซิเมนต์ไทย (เอสซีจี) ก่อนหน้านี้ ได้เข้าตั้งโรงปูนซิเมนต์ในกัมพูชา (กัมปอต ซีเมนต์) ส่วนในเมียนมาร์เอสซีจี ได้เข้าไปศึกษาตลาดมานานกว่า 3 ปี แต่ยังไม่ให้น้ าหนักการ ลงทุนมากนัก เนื่องจากเห็นว่ายังมีความเสี่ยงเพราะเพิ่งเปิดประเทศ โดยการลงทุนในอาเซียน ส่วนใหญ่ของเอสซีจี จะโฟกัสไปที่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ก่อนหน้านี้ กลุ่มอิตาเลียนไทย ยังเข้าไปรับงานสร้างสนามบินมัณฑะเลย์ สนามบินใหญ่ที่สุด ในเมียนมาร์ และเป็นผู้ได้รับสัมปทานโครงการท่าเรือน้ าลึกและนิคมฯทวาย เป็นอาทิ


23/FEBRUARY/2014

แสดงความคิดเห็น

Translate






[facebook]

Author Name

ฟอร์มรายชื่อติดต่อ

ชื่อ

อีเมล *

ข้อความ *

ขับเคลื่อนโดย Blogger.